วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

การปฏิวัติในอังกฤษ

                อังกฤษเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่บทของประชาธิปไตยลักษณะการปกครองของอังกฤษถือได้ว่าเป็นแบบสถาบันกษัตริย์โดยรัฐธรรมนูญ (Constitutional monarchy) และประชาธิปไตยโดยรัฐสภาการพัฒนาการเมืองของอังกฤษมาเป็นระบอบประชาธิปไตยเกิดขึ้นตั้งแต่ปลายสมัยกลางกล่าวคือ ใน ค.. 1215 ขุนนางบีบบังคับให้พระเจ้าจอห์นที่ 5 ยอมรับใน  กฏบัตรแมกนาคาร์ตา (Magna Carta) ซึ่งจำกัดพระราชอำนาจของกษัตริย์อังกฤษ อย่างไรก็ตามกษัตริย์อังกฤษหลายพระองค์พยายามที่จะหลีกเลี่ยงและละเมิดกฏบัตรดังกล่าว

                 หลังจากสงครามกลางเมือง (Civil War) ค.ศ.1642-1649   กษัตริย์อังกฤษพระเจ้าชาร์ลสที่ 1 ถูกสำเร็จโทษ อังกฤษปกครองระบอบสาธารณรัฐชั่วระยะเวลาหนึ่ง(ค.ศ. 1649-1659)โดย โอลิเวอร์ ครอมเวลล์ มีการปราบผู้ที่ไม่เห็นด้วยถือว่าเป็นยุคแห่งความหวาดกลัวเกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มเกิดการสู้รบนองเลือดจนมีการประกาศยกเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของอังกฤษยุบสภา โอลิเวอร์ ครอมเวลล์ เสียชีวิตลงรัฐสภาได้ฟื้นฟูระบบกษัตริย์ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งโดยเชิญกษัตริย์ในราชวงศ์สจ๊วตมาปกครอง
  

          การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างถาวรเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1688 เนื่องจากพระเจ้าเจมส์ที่ 2 ไม่ยอมรับอำนาจรัฐสภา  รัฐสภาร่วมมือกับประชาชนต่อต้านจนพระเจ้าเจมส์ที่ 2 ต้องสละราชสมบัติและมีการสถาปนาพระเจ้าวิลเลี่ยมที่ 1 แห่งฮอนแลด์( เมื่อมาปกครองที่อังกฤษเปลี่ยนเป็นพระเจ้าวิลเลี่ยมที่ 3 ) ร่วมกับพระนางแมรีที่ 2 การปฏิวัติในครั้งนี้ได้มีการประกาศ พระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิ(Bill of Rights ค.ศ. 1689) ที่ย้ำถึงสิทธิและเสรีภาพที่ชาวอังกฤษควรมีได้รับเท่าเทียมกันและอำนาจของรัฐสภามีเหนือสถาบันกษัตริย์ซึ่งท้ายที่สุดได้เกิดการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์(Bloodless Revolution หรือ Glorious Revolution) โดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อถือว่าเป็นการสิ้นสุดระบบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

                อังกฤษได้พัฒนามาสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์เมื่อมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติปฏิรูป (Reform  Bill  ) ใน ค.. 1832 และ ค.. 1867 ซึ่งขยายสิทธิการเลือกตั้งให้กับสามัญชนและการเพิ่มอำนาจและบทบาททางการเมืองของสภาสามัญให้มากขึ้น
สรุป   อังกฤษได้วางรากฐานการปกครองไว้ 3 ประการ คือ
                1. การมีรัฐบาลโดยได้รับความยินยอมพร้อมใจ
                2. การมีตัวแทนของประชาชน
                3. การมีกฎเกณฑ์ของกฎหมายโดยรัฐธรรมนูญ
               รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของอังกฤษเป็นรัฐธรรมนูญที่มิได้มีการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างเป็นทางการฉบับเดียวที่แน่นอนดังเช่นในประเทศอื่นๆ บางส่วนเป็นกฎหมายที่ออกตามสถานการณ์เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์หรือเป็นกฎที่มาจากการปฏิบัติที่เป็นประเพณีสืบกันมา



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น